สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษีส่งออก คือเรื่องที่สร้างความกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากเสียภาษีไม่ครบถ้วน ก็อาจทำให้มีปัญหาในการส่งออกสินค้าได้ ดังนั้นในบทความนี้ จะขอพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีการส่งออกสินค้ากันให้มากขึ้น พร้อมบอกวิธีในการคำนวณภาษีส่งออกคร่าว ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปวางแผนการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า
การส่งออกสินค้า มีภาษีใดที่เกี่ยวข้องบ้าง ?
ผู้ประกอบการที่จะส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ จำเป็นต้องรู้จักภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้ครบถ้วน เพื่อวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาษีส่งออกสินค้า มีดังนี้
ภาษีศุลกากร
ในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีศุลกากร ซึ่งเรียกเก็บจากสินค้าที่จะส่งออกไปนอกราชอาณาจักร โดยในปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่ได้รับการยกเว้นภาษีอากรขาออก มีเพียงสินค้าบางประเภทเท่านั้น ที่ยังต้องเสียอยู่ ได้แก่ ข้าว เศษโลหะ หนังโคและหนังกระบือ ไม้แปรรูปทุกชนิด เส้นไหมดิบที่ไม่ได้ตีเกลียว เส้นด้ายที่ทำด้วยไหม ปลาป่นหรือปลาอบแห้งที่ยังไม่ได้ป่น ของที่ส่งออกจากพื้นที่ที่พัฒนาร่วมตามกฎหมาย และของที่ยังไม่ได้ระบุหรือรวมไว้ในประเภทอื่นใดในพิกัดอัตราอากรขาออก
ภาษีสรรพากร
ผู้ประกอบการต้องทำการยื่นภาษีสรรพากร ตามรายได้ที่ได้รับจากการขายสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจและอัตราภาษีที่กฎหมายกำหนด รวมถึงผลประกอบการที่ได้รับ โดยการเตรียมเอกสารและการจัดการบัญชีที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้สามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องและทันเวลา
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับการส่งออกสินค้า ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิพิเศษในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมการส่งออกของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามปกติ
ภาษีนำเข้าสินค้าที่ประเทศปลายทาง
แม้ว่าจะไม่ใช่ภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายตอนส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ แต่ผู้ส่งออกควรคำนึงถึงภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางด้วย เนื่องจากอาจส่งผลต่อราคาสินค้าและความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
วิธีการคำนวณภาษีอย่างถูกต้อง
การคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ ต่อไปนี้คือวิธีการคำนวณภาษีประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
วิธีการคำนวณภาษีอากร
ภาษีอากรขาออกเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกนอกประเทศไทย โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้าและนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
ขั้นตอนการคำนวณ
- กำหนดมูลค่าสินค้า
- มูลค่า FOB (Free On Board) คือมูลค่าสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง ซึ่งรวมถึงราคาสินค้า ค่าบรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จนถึงขอบเรือ
- ค่าประกัน คือค่าประกันภัยที่ทำสำหรับการขนส่งสินค้า
- ค่าขนส่ง คือค่าขนส่งสินค้าจากท่าเรือต้นทางไปยังท่าเรือปลายทาง
CIF (Cost, Insurance, Freight) คือ มูลค่ารวมของสินค้า ซึ่งได้จากการนำมูลค่า FOB บวกกับค่าประกัน และค่าขนส่ง
- ตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาออก
- อย่างที่บอกไปว่า อัตราภาษีอากรขาออกส่วนใหญ่จะไม่ต้องเสียภาษี แต่จะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ตัวอย่างเช่น การส่งออกข้าว จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 5% แต่ในการคำนวณจริง ผู้ประกอบการควรอัปเดตอัตราภาษีเสียก่อน เนื่องจากมักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐ และปัจจัยต่าง ๆ ณ ขณะนั้น
- คำนวณภาษีอากรขาออก
ภาษีอากรขาออก = CIF x อัตราภาษีอากรขาออก
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าผู้ประกอบการส่งออกข้าวหอมมะลิ 1 ตัน ไปยังประเทศจีน โดยมีข้อมูล ดังนี้- มูลค่า FOB 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- ค่าประกัน 500 ดอลลาร์สหรัฐ
- ค่าขนส่ง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
- อัตราภาษีอากรขาออกของข้าวหอมมะลิ 5%
คำนวณ
CIF: 10,000 + 500 + 1,000 = 11,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 402,500 บาท
ภาษีอากรขาออก: 402,500 บาท x 5% = 20,125 บาท
ดังนั้น ผู้ประกอบการรายนี้จะต้องเสียภาษีอากรขาออกสำหรับการส่งออกข้าวหอมมะลิ 1 ตัน จำนวน 20,125 บาท
วิธีคำนวณภาษีสรรพากร
การคำนวณภาษีสรรพากรอาจมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจและปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลในที่นี้เป็นเพียงตัวอย่าง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและครอบคลุม โดยสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
สมมติฐาน
- ธุรกิจส่งออกมีกำไรสุทธิในรอบปีบัญชีเท่ากับ 1,500,000 บาท
- ธุรกิจมีสิทธิได้รับการหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ รวมแล้ว 200,000 บาท
ขั้นตอนการคำนวณ
- คำนวณเงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี
- เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี = กำไรสุทธิ – ค่าลดหย่อน
- เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี = 1,500,000 บาท – 200,000 บาท = 1,300,000 บาท
- คำนวณภาษีที่ต้องชำระ
- ภาษีที่ต้องชำระ = เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี x อัตราภาษี
- ภาษีที่ต้องชำระ = 1,300,000 บาท x 15% = 195,000 บาท
ดังนั้น ธุรกิจส่งออกในตัวอย่างนี้ จะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 195,000 บาท
วิธีคำนวณภาษีนำเข้าสินค้าปลายทาง
การคำนวณภาษีนำเข้าสินค้าปลายทางมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ส่งออก เพราะจะช่วยให้สามารถประเมินต้นทุนและกำหนดราคาขายได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไป วิธีการคำนวณภาษีนำเข้ามี ดังนี้
- คำนวณมูลค่า CIF (Cost, Insurance, and Freight):
CIF = ราคาสินค้า + ค่าประกันภัย + ค่าขนส่ง - คำนวณภาษีศุลกากร
ภาษีศุลกากร = CIF x อัตราภาษีศุลกากร - คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีการบริโภค:
VAT = (CIF + ภาษีศุลกากร) x อัตรา VAT - คำนวณภาษีนำเข้ารวม
ภาษีนำเข้ารวม = ภาษีศุลกากร + VAT
ตัวอย่าง
สมมติว่าคุณส่งออกสินค้ามูลค่า 100,000 บาท ไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากร 5% และ VAT 10%
CIF = 100,000 บาท (สมมติว่ารวมค่าประกันและค่าขนส่งแล้ว)
ภาษีศุลกากร = 100,000 x 5% = 5,000 บาท
VAT = (100,000 + 5,000) x 10% = 10,500 บาท
ภาษีนำเข้ารวม = 5,000 + 10,500 = 15,500 บาท
ดังนั้น ภาษีนำเข้าที่ต้องชำระในประเทศปลายทางคือ 15,500 บาท
อย่างไรก็ตาม ควรระวังว่าแต่ละประเทศอาจมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน เช่น บางประเทศอาจมีภาษีหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรือมีการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท ดังนั้น ผู้ประกอบการส่งออกควรศึกษาข้อมูลเฉพาะของแต่ละประเทศปลายทางอย่างละเอียดด้วย
เมื่อเข้าใจเกี่ยวกับภาษีส่งออกกันไปแล้ว สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทำธุรกิจส่งออก ที่สบาย เอ็กซ์เพรส เราให้บริการส่งของไป USA ที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการเตรียมเอกสาร และการดำเนินพิธีการศุลกากร หรือวุ่นวายว่าต้องเสียภาษีส่งออกกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะเราจะช่วยจัดการให้คุณแบบครบวงจร ใช้บริการส่งของกับเราได้อย่างอุ่นใจ สามารถติดตามสถานะได้ตลอด 24 ชม. สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ 02-026-8996 หรือ https://lin.ee/E6PHauT
แหล่งอ้างอิง
- ภาษีเกี่ยวกับการส่งออกสินค้า หรือบริการไปต่างประเทศ. สืบค้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 จาก https://flowaccount.com/blog/export-tax-services-provided-abroad/
- ธุรกิจขายสินค้าและบริการ ที่มีการนำเข้าส่งออก อย่าลืมเสีย ภาษีนำเข้าส่งออก. สืบค้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 จาก https://inflowaccount.co.th/export-import-duty/